SEO (Search Engine Optimization)
ขั้นตอนการทำ SEO ขั้นที่ 1 วิเคราะห์คู่แข่งและเลือกคีย์เวิร์ด ก่อนที่จะลงในเนื้อหา ขั้นตอนนี้ ผมจะพูดถึงเรื่อง SEO (Search Engine Optimization) กันก่อนนะครับ เผื่อมีบางคนหลงทางมาเจอ จะได้รู้ว่า SEO มันคืออะไร สำคัญยังไง ทำไมต้องทำ SEO ทำไมมีคนกล่าวถึงกันมากเหลือเกิน (ในกลุ่มเว็บมาสเตอร์และคนที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ต่างๆ) ก่อนอื่น ผมขอออกตัวก่อนนะครับว่า ผมไม่ได้เป็นเทพจุติจากที่ไหน แต่อาศัยว่ามีประสบการณ์ในการทำ SEO มาพอสมควร นอกจากนี้ ก็ยังได้ถ่ายทอดให้น้องๆ อีกหลายคนทำตาม และก็ประสบความสำเร็จมาแล้ว แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความขยันของแต่ละคนอีกหล่ะครับ SEO มันไม่ได้เป็นกฏตายตัว (เราไม่ใช่กูเกิ้ล เอ็มเอสเอ็น หรือ ยาฮูนี่ครับ) มันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ใครขยันหาข้อมูล รู้จักสังเกต นำมาปรับแต่งก็ได้เปรียบหล่ะครับ
SEO คืออะไร SEO (เอสอีโอ) มาจากคำเต็มๆ ว่า Search Engine Optimization ความหมายแบบบ้านๆ ลูกทุ่งๆ ก็คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ และกระบวนการต่างๆ ของเว็บไซต์ตั้งแต่การออกแบบ เขียนโปรแกรม และการโปรโมทเว็บ เพื่อให้ติดอันดับต้นๆ ของ Search Engine (เครื่องมือค้นหาเว็บไซต์ต่างๆ เช่น Google, MSN, Yahoo, AOL เป็นต้น)
SEO สำคัญยังไง อินเตอร์เน็ตในยุคปัจจุบันนี้ คนส่วนใหญ่ใช้ Search Engine ในการค้นหาข้อมูล แทนที่จะต้องพิมพ์ URL (Uniform Resource Locator) ก็ใช้ Keyword (คำค้น) ป้อนลงไปใน Search Engine Box ต่างๆ ก็จะค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้อย่างง่ายดาย และตรงประเด็น มีให้เลือกเปรียบเทียบอีกหลายๆ แห่ง สำหรับเรื่องๆ นั้น และเมื่อค้นพบแล้ว ก็จะมีการแสดงผลออกมาหลายๆ หน้า หลายๆ เว็บไซต์ เว็บที่ถูกแสดงเป็นอันดับที่ 1 2 3 หรือที่แสดงผลในหน้าแรก ก็จะถูกคลิกเข้าไปดูข้อมูลมากที่สุด ด้วยเหตุนี้เอง เว็บไซต์ต่างๆ ย่อมต้องการให้เว็บตัวเองขึ้นอันดับ 1 ของ Keyword นั้นๆ เผื่อผลประโยชน์หลายๆ ด้านเช่น ขายสินค้า โฆษณา หรือโปรโมทร้านค้า บริษัทของตัวเอง ทำให้ได้เปรียบคู่แข่ง ดังนั้น ผมสรุป ความสำคัญของ SEO ออกมาเป็นข้อๆ ดังนี้นะครับ (ใครต้องการเพิ่มก็เขียนไว้ที่ คอมเม้นท์นะครับ)
1. ทำให้เว็บของเราติดอันดับต้นๆ ในการแสดงผลงการค้นหา
2. การเขียน Title ที่ดี Keyword Intrend ช่วยทำให้สะดุดตา แม้อันดับต่ำกว่า ก็มีสิทธิ์ถูกคลิกมากกว่า
3. ทำ ให้เว็บเราถูกหลักของ W3C ซึ่งเป็นมาตรฐานของภาษาที่ใช้เขียนเว็บ ทำให้ดูสละสลวยเมื่อ Search Engine มาเจอก็เก็บข้อมูลต่างๆ ได้ง่าย
4. เมื่อติดอันดับต้นๆ ทำให้ขายสินค้าได้ โฆษณาเข้ามา เพราะมีทราฟิก
5. ติด Adsense ก็มีโอกาสที่จะได้รับเงินค่าโฆษณาที่สูงด้วย เพราะมีทราฟิกก็มีโอกาส
6. อื่นๆอ่า ยังไม่ได้เริ่ม ขั้นตอนเลย รอก่อนนะครับ รับรองว่า ได้ความรู้ไปใช้งานแน่ๆ
ค้นหาบล็อกนี้
วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553
ดูคลิปวิดีโอออนไลน์แบบลื่นๆไม่มีสะดุดด้วย SpeedBit Video Accelerator
ใครที่ชื่นชอบการดูคลิปวิดีโอบนเว็บ อย่าง youtube แต่พอเปิดขึ้นมาดู เจอปัญหาเน็ตช้า ดูคลิปวิดีโอแล้วกระตุก สะดุด หรือหยุดค้างไปนานๆ มันทำให้เสียอารมณ์วัยรุ่นมากๆ ไม่ได้ดั่งใจเร้ย.. ผมขอแนะนำซอฟแวร์ที่จะช่วยให้การดูวิดีโอของคุณนั้นลื่นไหล ต่อเนื่องไม่มีสะดุด ด้วย SpeedBit Video Accelerator
sb05
SpeedBit Video Accelerator เป็นผลงานของ www.speedbit.com ชื่อนี้หลายท่านอาจจะเคยคุ้นๆมาบ้างแล้ว เพราะเคยโด่งดังกับโปรแกรมช่วยดาวโหลดรุ่นแรกๆของโลกอย่าง DAP Download Accelerator Plus ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีแนวคิดเชิง Accelerate คือการเร่งความเร็วโดยแบ่งการทำงานเป็นหลายๆส่วนให้ทำงานพร้อมๆกัน ทำให้ได้ความเร็วในการดาวโหลดเพิ่มขึ้น ในปัจจุบันกระแสโปรแกรมช่วยดาวโหลดไฟล์มีคู่แข่งออกมามากมายทำให้ DAP เสื่อมความนิยมลงไป ทีม speedbit ก็เลยหันมาพัฒนาโปรแกรมเร่งความเร็วการดาวโหลดวิดีโอแทน โดยอาศัยหลักการเดียวกัน คือ แบ่งวิดีโอออกเป็นหลายส่วนและเรียกดาวโหลดพร้อมๆกัน ทำให้เรา buffer วิดีโอได้เร็วขึ้น การชมวิดีโอจึงราบรื่นไม่ติดขัด
sb01
หน้าจอหลักของ SpeedBit Video Accelerator ซึ่งสนับสนุนการเปิดคลิปวิดีโอออนไลน์ทั่วโลกมากกว่า 150 เว็บไซต์ อาทิ youtube, yahoo video ,facebook ,dailymotion ,MySpace, Metacafe และอีกมากมาย เมื่อเปิดวิดีโอจากเว็บเหล่านี้โปรแกรมจะสามารถช่วยโหลดให้เร็วขึ้น
sb02
วิธีการใช้งานก็ง่ายมากครับ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ติดตั้งโปรแกรมลงไปในเครื่องเท่านั้น ตัวโปรแกรมจะทำงานอยู่ที่ system tray มุมขวาล่างของจอ เมื่อเวลาที่เราเปิดเว็บดูคลิปวิดีโอที่โปรแกรมสามารถเร่งความเร็วได้ จะมีหน้าต่าง pop ขึ้นมา แสดงว่าระบบกำลังทำงานเพื่อเร่งการ buffer วิดีโอ
sb07
ภาพเปรียบเทียบการดาวโหลดวิดีโอแบบเดิมๆ จะเห็นได้ว่า การสร้าง conection เดียวจะทำให้ได้วิดีโอมาไม่ทันกับการดู แต่ speedbit ใช้วิธีการสร้าง connection หลายๆอันเรียกเข้าไปพร้อมกัน ทำให้ได้ video buffer มามาก การ play video จึงราบรื่นไม่สะดุด ไม่หยุดค้าง
sb05
SpeedBit Video Accelerator เป็นผลงานของ www.speedbit.com ชื่อนี้หลายท่านอาจจะเคยคุ้นๆมาบ้างแล้ว เพราะเคยโด่งดังกับโปรแกรมช่วยดาวโหลดรุ่นแรกๆของโลกอย่าง DAP Download Accelerator Plus ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีแนวคิดเชิง Accelerate คือการเร่งความเร็วโดยแบ่งการทำงานเป็นหลายๆส่วนให้ทำงานพร้อมๆกัน ทำให้ได้ความเร็วในการดาวโหลดเพิ่มขึ้น ในปัจจุบันกระแสโปรแกรมช่วยดาวโหลดไฟล์มีคู่แข่งออกมามากมายทำให้ DAP เสื่อมความนิยมลงไป ทีม speedbit ก็เลยหันมาพัฒนาโปรแกรมเร่งความเร็วการดาวโหลดวิดีโอแทน โดยอาศัยหลักการเดียวกัน คือ แบ่งวิดีโอออกเป็นหลายส่วนและเรียกดาวโหลดพร้อมๆกัน ทำให้เรา buffer วิดีโอได้เร็วขึ้น การชมวิดีโอจึงราบรื่นไม่ติดขัด
sb01
หน้าจอหลักของ SpeedBit Video Accelerator ซึ่งสนับสนุนการเปิดคลิปวิดีโอออนไลน์ทั่วโลกมากกว่า 150 เว็บไซต์ อาทิ youtube, yahoo video ,facebook ,dailymotion ,MySpace, Metacafe และอีกมากมาย เมื่อเปิดวิดีโอจากเว็บเหล่านี้โปรแกรมจะสามารถช่วยโหลดให้เร็วขึ้น
sb02
วิธีการใช้งานก็ง่ายมากครับ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ติดตั้งโปรแกรมลงไปในเครื่องเท่านั้น ตัวโปรแกรมจะทำงานอยู่ที่ system tray มุมขวาล่างของจอ เมื่อเวลาที่เราเปิดเว็บดูคลิปวิดีโอที่โปรแกรมสามารถเร่งความเร็วได้ จะมีหน้าต่าง pop ขึ้นมา แสดงว่าระบบกำลังทำงานเพื่อเร่งการ buffer วิดีโอ
sb07
ภาพเปรียบเทียบการดาวโหลดวิดีโอแบบเดิมๆ จะเห็นได้ว่า การสร้าง conection เดียวจะทำให้ได้วิดีโอมาไม่ทันกับการดู แต่ speedbit ใช้วิธีการสร้าง connection หลายๆอันเรียกเข้าไปพร้อมกัน ทำให้ได้ video buffer มามาก การ play video จึงราบรื่นไม่สะดุด ไม่หยุดค้าง
วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553
มือถือเวียดนามพร้อมพาสชั้นไป 4G เร็วจี๋ด้วย WiMAX
คม ชัดสุดๆ และเร็วสุดๆ ด้วยเทคโนโลยี WiMAX กับความถี่ระดับ 2.3 กิกะเฮิรสท์ขึ้นไป เวียดนามได้ทดลองโทรศัพท์มือถือ "ยุคที่ 4" หรือ 4G แล้ว รอเพียงว่าผู้ให้บริการใดจะก้าวไปถึงยุคนั้นก่อน ขณะที่ 2 ค่ายเพิ่งจะเปิดให้บริการ 3G มาหมาดๆ
ASTVผู้จัดการรายวัน-- กระทรวงสารสนเทศและการสื่อสารได้รวบรวมความเห็นจากบริษัทโทรคมนาคมต่างๆ เพื่อออกแบบแผนแถบความถี่ระบบโทรศัพท์มือถือยุคที่ 4 หรือ 4G (Fourth Generation) นายเลดว่านเหิบ (Le Doan Hop) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารสนเทศและการสื่อสาร ได้มอบหมายงานนี้ให้กับกรมคลื่นความถี่ไร้สายและโทรคมนาคมเป็นผู้ดำเนินการ และยังได้กำหนดให้แล้วเสร็จภายในปี 2553 นี้ด้วย
อย่างไรก็ตามกระทรวงสารสนเทศและการสื่อสารจะเป็นผู้ทำงานด้านการออก แบบความถี่ของระบบ 4G และให้ทางบริษัทโทรคมนาคมต่างๆ เป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่าจะใช้เทคโนโลยีตัวใดมารองรับระหว่าง WiMax กับ LTE ทั้งนี้เป็นรายงานของสำนักข่าวเวียดนามเน็ต
ตามที่สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunications Union - ITU) ระบุไว้ ระบบรุ่นต่อไปของเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือที่เรียกว่า 4G นั้นสามารถให้การเชื่อมต่อรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดถึง 100MB ต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าระบบ 3G ในปัจจุบันหลายสิบเท่า
ล่าสุดมีบริษัทโทรคมนาคมในเวียดนามจำนวน 5 บริษัท ที่ประกอบด้วย Vietnam Data Communications Company (VDC) บริษัท EVN Telecom บริษัท FPT Telecom บริษัท Viettel ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของประเทศ และบริษัท VTC ทำการทดสอบระบบ 4G ด้วยเทคโนโลยี WiMAX โดยบริษัท VDC ทดสอบสัญญาณบนคลื่นความถี่ 2.5GHz ในกรุงฮานอย นครโฮจิมินห์ และนครด่าหนัง
ส่วน EVN Telecom ซึ่งเป็นบริษัทลูกของการไฟฟ้าเวียดนาม ได้ทดสอบประสิทธิภาพของเทคโนยีรุ่นใหม่ที่ความถี่ 2.3-2.4 GHz ในกรุงฮานอย และจ.ด่งนาย ส่วนบริษัท Viettel ได้ทดสอบระบบในคลื่นความถี่ 2.3-2.4 GHz ในกรุงฮานอยและ จ.ถาย-งเวียน และสุดท้าย FPT Telecom ทดสอบระบบในคลื่นความถี่ที่ 2.3-2.4 GHz ในกรุงฮานอยและนครหายฟ่อง
อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีบริษัทใดเข้ามาทำการขอใบอนุญาตกับทางกระทรวงสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อขอใช้บริการระบบ 4G แต่อย่างใด เวียดนามเน็ตกล่าว
ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่อันดับ 2 ของปีระเทศคือ วินาโฟน (VinaPhone) ได้เริ่มทดลองให้บริการโทรศัพท์ 3G มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เวียดเทล เปิดให้บริการในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และ โมบิโฟน (Mobifone) จะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้เป็นข่ายที่ 3 นอกจากนั้นยังมีอีก 1 รายจะติดตามมาในครึ่งหลังของปี
ปัจจุบันผู้ให้บริการรายใหญ่ทั้งสองรายกำลังแข่งขันในตลอด 3G ด้วยการหั่นค่าบริการลงต่ำแบบติดดิน.
ASTVผู้จัดการรายวัน-- กระทรวงสารสนเทศและการสื่อสารได้รวบรวมความเห็นจากบริษัทโทรคมนาคมต่างๆ เพื่อออกแบบแผนแถบความถี่ระบบโทรศัพท์มือถือยุคที่ 4 หรือ 4G (Fourth Generation) นายเลดว่านเหิบ (Le Doan Hop) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารสนเทศและการสื่อสาร ได้มอบหมายงานนี้ให้กับกรมคลื่นความถี่ไร้สายและโทรคมนาคมเป็นผู้ดำเนินการ และยังได้กำหนดให้แล้วเสร็จภายในปี 2553 นี้ด้วย
อย่างไรก็ตามกระทรวงสารสนเทศและการสื่อสารจะเป็นผู้ทำงานด้านการออก แบบความถี่ของระบบ 4G และให้ทางบริษัทโทรคมนาคมต่างๆ เป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่าจะใช้เทคโนโลยีตัวใดมารองรับระหว่าง WiMax กับ LTE ทั้งนี้เป็นรายงานของสำนักข่าวเวียดนามเน็ต
ตามที่สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunications Union - ITU) ระบุไว้ ระบบรุ่นต่อไปของเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือที่เรียกว่า 4G นั้นสามารถให้การเชื่อมต่อรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดถึง 100MB ต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าระบบ 3G ในปัจจุบันหลายสิบเท่า
ล่าสุดมีบริษัทโทรคมนาคมในเวียดนามจำนวน 5 บริษัท ที่ประกอบด้วย Vietnam Data Communications Company (VDC) บริษัท EVN Telecom บริษัท FPT Telecom บริษัท Viettel ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของประเทศ และบริษัท VTC ทำการทดสอบระบบ 4G ด้วยเทคโนโลยี WiMAX โดยบริษัท VDC ทดสอบสัญญาณบนคลื่นความถี่ 2.5GHz ในกรุงฮานอย นครโฮจิมินห์ และนครด่าหนัง
ส่วน EVN Telecom ซึ่งเป็นบริษัทลูกของการไฟฟ้าเวียดนาม ได้ทดสอบประสิทธิภาพของเทคโนยีรุ่นใหม่ที่ความถี่ 2.3-2.4 GHz ในกรุงฮานอย และจ.ด่งนาย ส่วนบริษัท Viettel ได้ทดสอบระบบในคลื่นความถี่ 2.3-2.4 GHz ในกรุงฮานอยและ จ.ถาย-งเวียน และสุดท้าย FPT Telecom ทดสอบระบบในคลื่นความถี่ที่ 2.3-2.4 GHz ในกรุงฮานอยและนครหายฟ่อง
อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีบริษัทใดเข้ามาทำการขอใบอนุญาตกับทางกระทรวงสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อขอใช้บริการระบบ 4G แต่อย่างใด เวียดนามเน็ตกล่าว
ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่อันดับ 2 ของปีระเทศคือ วินาโฟน (VinaPhone) ได้เริ่มทดลองให้บริการโทรศัพท์ 3G มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เวียดเทล เปิดให้บริการในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และ โมบิโฟน (Mobifone) จะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้เป็นข่ายที่ 3 นอกจากนั้นยังมีอีก 1 รายจะติดตามมาในครึ่งหลังของปี
ปัจจุบันผู้ให้บริการรายใหญ่ทั้งสองรายกำลังแข่งขันในตลอด 3G ด้วยการหั่นค่าบริการลงต่ำแบบติดดิน.
วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553
Lenovo ชื่อนี้มีที่มา ???
Lenovo ชื่อนี้มีที่มา ???
เรามาเจาะลึกกันแบบบ้านๆ ไม่เป็นทางการแล้วกันนะ
เคยสงสัยไหม โนตบุค ยี่ห้อไรอ่ะ อ่านไม่ออก Lenovo ชื่อก็ยาว เรียกก็ยาก ไม่ชินหูอีกต่างหาก (ตามศัพท์ฝรั่งที่อ่านกัน ถ้าฟังไม่ผิดน่าจะออกเสียงว่า เลอโนโว)
สำหรับทุกท่าน ที่ยังไม่คุ้นกับแบรนด์นี้นะคับผม เราจะมาไขข้อข้องใจกัน
Lenovo เป็นแบรนด์โนตบุคสัญชาติจีน เกิดจากการสมาสคำว่า Le ที่มาจาก Legend + Novo ในภาษาละตินที่แปลว่า new
ตอนแรกแบรนด์นี้ ใช้ชื่อว่า Legend แต่เมื่อต้องการจะไปตีตลาดในต่างประเทศจึงไม่สามารถใช้ชื่อนี้ได้เพราะไปตรง กับชื่อการค้าของแบรนด์อื่น จึงเปลี่ยนเป็น Lenovo
ประวัติ โดยรวมของ Lenovo และ IBM
ในยุค 1980s
1981: IBM ได้บุกเบิก PC เป็นรายแรก
1984: ต่อมา IBM เปิดตัว โนตบุคเป็นรายแรก ซื่งตอนนั้นโนตบุคมีน้ำหนัก 30 ปอนด์ ประมาณ สิบหกกิโล ตกใจเลยงิ
และขณะนั้นเอง แชร์แมน Liu Chuanzhi ผู้ก่อตั้ง Lenovo และเพื่อนๆ ใช้เงินลงทุนเริ่มแรกจำนวน 25,000 ดอลล่า US เพื่อดำเนินการพัฒนา New Technology Developer Inc. (the predecessor of the Legend Group)ด้วยทุนจาก Chinese Academy of Sciences
1986:IBM ได้ประกาศความสำเร็จในการพัฒนา laptop ครั้งแรก ที่มีน้ำหนัก 12 ปอนด์ ประมาณเกือบ 7 กิโล
1987:IBM ประกาศ ในการพัฒนาระบบ OS ให้สามารถเป็นเซิฟเวอร์ขนาดเล็กได้
ทางด้าน Legend ก็ประสบความสำเร็จในการพัฒนา การ์ด Legend Chinese-character
1988:และ Legend ก็ได้รับรางวัลในปีต่อมา และมีการขยายกิจการของ Legend
1989:Beijing Legend Computer Group Co. ถูกก่อตั้งขึ้นมา
1990:The very first Legend PC ถูกปล่อยออกมาสู่ตลาด. Legend เปลี่ยนแปลงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในชื่อของแบรนด์ตัวเอง Legend PCs ถูกยืนยันและได้รับการยอมรับจาก China Torch Program.
1992:IBM PCD นำเสนอ ThinkPad , the industry’s first notebook with a 10.4 inch color Thin Film Transistor (TFT) display and a TrackPoint (red ball) pointing device.
Legend ได้ริเริ่ม the home PC concept and Legend 1 + 1 home PCs สู่ตลาดจีน.
1993:Legend เข้าสู่ยุคของ Pentium, producing China’s first "586" PC. Legend ได้สร้างระบบ 1+1 retail network.
1994:IBM PCD ได้พัฒนา thinkpad ให้สามารถใส่ ซีดีรอมได้
ทางด้าน Legend ได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในฮ่องกง และพัฒนาธุรกิจขึ้นมา
1995:IBM PCD เปิดตัวคีย์บอร์ด “butterfly”
IBM PCD ได้ย้ายสำนักงานจาก Boca Raton, Florida ไปสู่ Raleigh, North Carolina.
Legend เปิดตัว first Legend-brand server.
1996:Legend กลายเป็นผู้นำในตลาดของจีนครั้งแรก และในปีนั้นเองก็ได้มีการเปิดตัว laptop ของ Legend
1997:IBM PCD พัฒนาโนตบุคที่มี dvd rom , the ThinkPad 770.
ในฝั่ง ของ Legend ได้ร่วมตกลงสัญญากับ Microsoft ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ของ legend ที่ได้มีการพัฒนาขึ้นมาอีกตัวคือ laser printers
1998:IBM PCD พัฒนา the industry’s first ThinkLight, a small light that illuminates the keyboard in low-light work environments, such as onboard an airplane.
และปีนั้นเอง คอมพิวเตอร์ของ Legend PC ก้สามารถขายได้กว่าล้านเครื่อง
1999:IBM PCD ได้พัฒนา the industry’s first mini-notebook, weighing under three pounds, with standard ports and a keyboard that is 95 percent of full-size.
IBM PCD announces its exit from the retail business.
IBM PCD introduces the industry’s first PC with an embedded security chip.
ขอย่อๆแล้วกันนะ มะไหวแล้วเหนื่อย
....
จน 2004 IBM และ Lenovo ตกลงทำสัญญาร่วมกัน โดย Lenovo เจ้ามาทำกิจการในส่วนของ computer desktop และ notebook จน ณ บัดนาว ฮาๆๆ
และนี่คือ วิดีโอแนะนำ ประวัติของ Lenovo คับผม http://www.pc.ibm.com/ca/about_lenovo/demo.html กดได้เลย แหะๆ
อิงจาก http://www.pc.ibm.com/ca/about_lenovo/companyhistory.html
http://en.wikipedia.org/wiki/Lenovo
We are the new.
เรามาเจาะลึกกันแบบบ้านๆ ไม่เป็นทางการแล้วกันนะ
เคยสงสัยไหม โนตบุค ยี่ห้อไรอ่ะ อ่านไม่ออก Lenovo ชื่อก็ยาว เรียกก็ยาก ไม่ชินหูอีกต่างหาก (ตามศัพท์ฝรั่งที่อ่านกัน ถ้าฟังไม่ผิดน่าจะออกเสียงว่า เลอโนโว)
สำหรับทุกท่าน ที่ยังไม่คุ้นกับแบรนด์นี้นะคับผม เราจะมาไขข้อข้องใจกัน
Lenovo เป็นแบรนด์โนตบุคสัญชาติจีน เกิดจากการสมาสคำว่า Le ที่มาจาก Legend + Novo ในภาษาละตินที่แปลว่า new
ตอนแรกแบรนด์นี้ ใช้ชื่อว่า Legend แต่เมื่อต้องการจะไปตีตลาดในต่างประเทศจึงไม่สามารถใช้ชื่อนี้ได้เพราะไปตรง กับชื่อการค้าของแบรนด์อื่น จึงเปลี่ยนเป็น Lenovo
ประวัติ โดยรวมของ Lenovo และ IBM
ในยุค 1980s
1981: IBM ได้บุกเบิก PC เป็นรายแรก
1984: ต่อมา IBM เปิดตัว โนตบุคเป็นรายแรก ซื่งตอนนั้นโนตบุคมีน้ำหนัก 30 ปอนด์ ประมาณ สิบหกกิโล ตกใจเลยงิ
และขณะนั้นเอง แชร์แมน Liu Chuanzhi ผู้ก่อตั้ง Lenovo และเพื่อนๆ ใช้เงินลงทุนเริ่มแรกจำนวน 25,000 ดอลล่า US เพื่อดำเนินการพัฒนา New Technology Developer Inc. (the predecessor of the Legend Group)ด้วยทุนจาก Chinese Academy of Sciences
1986:IBM ได้ประกาศความสำเร็จในการพัฒนา laptop ครั้งแรก ที่มีน้ำหนัก 12 ปอนด์ ประมาณเกือบ 7 กิโล
1987:IBM ประกาศ ในการพัฒนาระบบ OS ให้สามารถเป็นเซิฟเวอร์ขนาดเล็กได้
ทางด้าน Legend ก็ประสบความสำเร็จในการพัฒนา การ์ด Legend Chinese-character
1988:และ Legend ก็ได้รับรางวัลในปีต่อมา และมีการขยายกิจการของ Legend
1989:Beijing Legend Computer Group Co. ถูกก่อตั้งขึ้นมา
1990:The very first Legend PC ถูกปล่อยออกมาสู่ตลาด. Legend เปลี่ยนแปลงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในชื่อของแบรนด์ตัวเอง Legend PCs ถูกยืนยันและได้รับการยอมรับจาก China Torch Program.
1992:IBM PCD นำเสนอ ThinkPad , the industry’s first notebook with a 10.4 inch color Thin Film Transistor (TFT) display and a TrackPoint (red ball) pointing device.
Legend ได้ริเริ่ม the home PC concept and Legend 1 + 1 home PCs สู่ตลาดจีน.
1993:Legend เข้าสู่ยุคของ Pentium, producing China’s first "586" PC. Legend ได้สร้างระบบ 1+1 retail network.
1994:IBM PCD ได้พัฒนา thinkpad ให้สามารถใส่ ซีดีรอมได้
ทางด้าน Legend ได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในฮ่องกง และพัฒนาธุรกิจขึ้นมา
1995:IBM PCD เปิดตัวคีย์บอร์ด “butterfly”
IBM PCD ได้ย้ายสำนักงานจาก Boca Raton, Florida ไปสู่ Raleigh, North Carolina.
Legend เปิดตัว first Legend-brand server.
1996:Legend กลายเป็นผู้นำในตลาดของจีนครั้งแรก และในปีนั้นเองก็ได้มีการเปิดตัว laptop ของ Legend
1997:IBM PCD พัฒนาโนตบุคที่มี dvd rom , the ThinkPad 770.
ในฝั่ง ของ Legend ได้ร่วมตกลงสัญญากับ Microsoft ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ของ legend ที่ได้มีการพัฒนาขึ้นมาอีกตัวคือ laser printers
1998:IBM PCD พัฒนา the industry’s first ThinkLight, a small light that illuminates the keyboard in low-light work environments, such as onboard an airplane.
และปีนั้นเอง คอมพิวเตอร์ของ Legend PC ก้สามารถขายได้กว่าล้านเครื่อง
1999:IBM PCD ได้พัฒนา the industry’s first mini-notebook, weighing under three pounds, with standard ports and a keyboard that is 95 percent of full-size.
IBM PCD announces its exit from the retail business.
IBM PCD introduces the industry’s first PC with an embedded security chip.
ขอย่อๆแล้วกันนะ มะไหวแล้วเหนื่อย
....
จน 2004 IBM และ Lenovo ตกลงทำสัญญาร่วมกัน โดย Lenovo เจ้ามาทำกิจการในส่วนของ computer desktop และ notebook จน ณ บัดนาว ฮาๆๆ
และนี่คือ วิดีโอแนะนำ ประวัติของ Lenovo คับผม http://www.pc.ibm.com/ca/about_lenovo/demo.html กดได้เลย แหะๆ
อิงจาก http://www.pc.ibm.com/ca/about_lenovo/companyhistory.html
http://en.wikipedia.org/wiki/Lenovo
We are the new.
วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553
ตำนานก้าวกระโดด ASUS
ASUS เป็นของจีน
มี เพื่อนที่ทำงานโทรศัพท์มาถาม ASUS นี่มันของประเทศไหน ไอ้เราก็นึกในใจว่าไม่แน่ใจเหมือนกัน น่าจะของสหรัฐอเมริกามั้ง เลยใช้วิชา google หาเอาเดี๋ยวนั้น โห. . . ผลออกมาเซอร์ไพรส์กว่าที่คิด ASUS หรือ ASUSTeK Computer Incorporated เป็นบริษัทจากประเทศจีน ซึ่งผลิต เมนบอร์ด การ์ดจอ เครื่องอ่าน DVD ฯลฯ ก็อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งหลายนั่นแหละ ตั้งขึ้นเมื่อปี 1989 ที่ไต้หวัน (แต่สำนักงานใหญ่ตอนนี้อยู่ไทเปแฮะ) โดยวิศวกรคอมพิวเตอร์ 4 คนจากบริษัท Acer (ดังแล้วแยกวงหุหุ) ชื่อ ASUS มาจาก Pegasus ม้ามีปีกในเทพนิยายกรีก แต่อักษร 3 ตัวแรกถูกตัดทิ้งเพื่อให้ชื่อถูกลิสต์ในอันดับแรกๆเมื่อเรียงตามตัวอักษร (โหย..คิดได้ไงเนี๊ยะ)
เรื่องที่น่าจะบันทึกว่าเป็นก้าวกระโดดของ บริษัทคือ ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 (คงหมายถึงประมาณ 1990-1994 อะไรประมาณนั้นมั้ง-ผมว่านะ) ช่วงนั้นบริษัท ASUS ยังไม่ได้เป็นผู้นำในการผลิตเมนบอร์ด บริษัทผลิต CPU ชื่อดังอย่าง Intel จึงไม่เห็นความสำคัญ เมื่อมี CPU รุ่นใหม่ออกมาก็จะถูกส่งให้บริษัทดังๆอย่าง IBM เพื่อสร้างเมนบอร์ดต้นแบบมารองรับ ส่วนบริษัทอื่นๆที่ไม่ดังอย่าง ASUS ในขณะนั้นต้องรอไปอีก 6 เดือน ถึงจะได้ CPU มา
ช่วงที่มีการปล่อย CPU 486 ออกมา (ใครรู้จัก 486 บ้าง หุหุ มันแสดงว่าอายุมิใช่น้อย) ASUS ตัดสินใจสร้างเมนบอร์ดสำหรับ 486 โดยไม่มีตัวอย่าง CPU อาศัยเพียงรายละเอียดทางเทคนิคที่ Intel ให้มา กับประสบการณ์ที่มีจากการสร้างเมนบอร์ดสำหรับ CPU 386 เท่านั้น หลังจากทำต้นแบบเมนบอร์ดเสร็จก็ขอนำไปทดสอบที่ฐานของ intel ในไต้หวัน ซึ่งไม่น่าแปลกใจนักว่าไม่ค่อยได้รับการตอบรับอย่างเป็นทางการสักเท่าไหร่ แต่จุดผลิกผันอยู่ที่เมนบอร์ดต้นแบบที่ intel กำลังสร้างมีข้อผิดพลาดในการออกแบบ และ intel ก็กำลังเร่งแก้ไข ทีมช่างของ ASUS ได้ตรวจสอบเมนบอร์ดที่มีปัญหาของ intel และแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นได้ท่ามกลางความประหลาดใจของวิศวกร intel และเมื่อนำต้นแบบเมนบอร์ดของ ASUS ไปทดสอบก็พบว่าทำงานได้อย่างสมบูรณ์ จุดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นอย่างไม่เป็นทางการของความสัมพันธ์ระหว่าง ASUS และ intel - ในปัจจุบัน ASUS ได้รับข้อมูล/ตัวอย่างทางวิศวกรรมจากทาง intel เร็วกว่าบริษัทอื่นๆเสียอีก
ปี 2004 เป็นปีที่เป็นประวัติการของบริษัท ASUS โดยขายเมนบอร์ดได้มากกว่า 30 ล้านชิ้น (หรืออัน?หรือแผ่น? เรียกสรรพนามไม่ถูกอะ) ทั้งนี้นับรวมพวกที่ผลิตแล้วไปใช้ชื่อยี่ห้ออื่นด้วยนะ ซึ่งมากกว่ายอดขายบริษัทคู่แข่งในขณะนั้นอีก 3 บริษัทรวมกันเสียอีก
นอกจากนี้ ASUS ยังเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนส่งให้บริษัทอื่นๆด้วย เช่น Sony (Playstation 2), Apple Inc. (iPod, Macbook), HP, Compaq ฯลฯ
เป็น ไงครับผมอ่านแล้วทึ่งจริงๆเลยกับบริษัทสัญชาติจีนที่เขาทำได้ถึงขนาดนี้ ตอนนี้แค่เอ่ยชื่อ ASUS แล้วใครไม่รู้จัก ก็นับว่าเชยแล้ว (หมายถึงพวกที่คุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์นะ)
ปล. ข้อมูลข้างบนอ่านๆแปลๆแบบงูๆปลาๆจาก wikipedia ด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก ใครอยากได้ข้อมูลแท้ๆแบบครบถ้วนไม่ผิดเพี้ยนไปอ่านของจริงเอาเองเน้อ
อ้างอิงจาก
http://share.psu.ac.th/blog/8332-computer/4131
มี เพื่อนที่ทำงานโทรศัพท์มาถาม ASUS นี่มันของประเทศไหน ไอ้เราก็นึกในใจว่าไม่แน่ใจเหมือนกัน น่าจะของสหรัฐอเมริกามั้ง เลยใช้วิชา google หาเอาเดี๋ยวนั้น โห. . . ผลออกมาเซอร์ไพรส์กว่าที่คิด ASUS หรือ ASUSTeK Computer Incorporated เป็นบริษัทจากประเทศจีน ซึ่งผลิต เมนบอร์ด การ์ดจอ เครื่องอ่าน DVD ฯลฯ ก็อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งหลายนั่นแหละ ตั้งขึ้นเมื่อปี 1989 ที่ไต้หวัน (แต่สำนักงานใหญ่ตอนนี้อยู่ไทเปแฮะ) โดยวิศวกรคอมพิวเตอร์ 4 คนจากบริษัท Acer (ดังแล้วแยกวงหุหุ) ชื่อ ASUS มาจาก Pegasus ม้ามีปีกในเทพนิยายกรีก แต่อักษร 3 ตัวแรกถูกตัดทิ้งเพื่อให้ชื่อถูกลิสต์ในอันดับแรกๆเมื่อเรียงตามตัวอักษร (โหย..คิดได้ไงเนี๊ยะ)
เรื่องที่น่าจะบันทึกว่าเป็นก้าวกระโดดของ บริษัทคือ ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 (คงหมายถึงประมาณ 1990-1994 อะไรประมาณนั้นมั้ง-ผมว่านะ) ช่วงนั้นบริษัท ASUS ยังไม่ได้เป็นผู้นำในการผลิตเมนบอร์ด บริษัทผลิต CPU ชื่อดังอย่าง Intel จึงไม่เห็นความสำคัญ เมื่อมี CPU รุ่นใหม่ออกมาก็จะถูกส่งให้บริษัทดังๆอย่าง IBM เพื่อสร้างเมนบอร์ดต้นแบบมารองรับ ส่วนบริษัทอื่นๆที่ไม่ดังอย่าง ASUS ในขณะนั้นต้องรอไปอีก 6 เดือน ถึงจะได้ CPU มา
ช่วงที่มีการปล่อย CPU 486 ออกมา (ใครรู้จัก 486 บ้าง หุหุ มันแสดงว่าอายุมิใช่น้อย) ASUS ตัดสินใจสร้างเมนบอร์ดสำหรับ 486 โดยไม่มีตัวอย่าง CPU อาศัยเพียงรายละเอียดทางเทคนิคที่ Intel ให้มา กับประสบการณ์ที่มีจากการสร้างเมนบอร์ดสำหรับ CPU 386 เท่านั้น หลังจากทำต้นแบบเมนบอร์ดเสร็จก็ขอนำไปทดสอบที่ฐานของ intel ในไต้หวัน ซึ่งไม่น่าแปลกใจนักว่าไม่ค่อยได้รับการตอบรับอย่างเป็นทางการสักเท่าไหร่ แต่จุดผลิกผันอยู่ที่เมนบอร์ดต้นแบบที่ intel กำลังสร้างมีข้อผิดพลาดในการออกแบบ และ intel ก็กำลังเร่งแก้ไข ทีมช่างของ ASUS ได้ตรวจสอบเมนบอร์ดที่มีปัญหาของ intel และแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นได้ท่ามกลางความประหลาดใจของวิศวกร intel และเมื่อนำต้นแบบเมนบอร์ดของ ASUS ไปทดสอบก็พบว่าทำงานได้อย่างสมบูรณ์ จุดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นอย่างไม่เป็นทางการของความสัมพันธ์ระหว่าง ASUS และ intel - ในปัจจุบัน ASUS ได้รับข้อมูล/ตัวอย่างทางวิศวกรรมจากทาง intel เร็วกว่าบริษัทอื่นๆเสียอีก
ปี 2004 เป็นปีที่เป็นประวัติการของบริษัท ASUS โดยขายเมนบอร์ดได้มากกว่า 30 ล้านชิ้น (หรืออัน?หรือแผ่น? เรียกสรรพนามไม่ถูกอะ) ทั้งนี้นับรวมพวกที่ผลิตแล้วไปใช้ชื่อยี่ห้ออื่นด้วยนะ ซึ่งมากกว่ายอดขายบริษัทคู่แข่งในขณะนั้นอีก 3 บริษัทรวมกันเสียอีก
นอกจากนี้ ASUS ยังเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนส่งให้บริษัทอื่นๆด้วย เช่น Sony (Playstation 2), Apple Inc. (iPod, Macbook), HP, Compaq ฯลฯ
เป็น ไงครับผมอ่านแล้วทึ่งจริงๆเลยกับบริษัทสัญชาติจีนที่เขาทำได้ถึงขนาดนี้ ตอนนี้แค่เอ่ยชื่อ ASUS แล้วใครไม่รู้จัก ก็นับว่าเชยแล้ว (หมายถึงพวกที่คุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์นะ)
ปล. ข้อมูลข้างบนอ่านๆแปลๆแบบงูๆปลาๆจาก wikipedia ด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก ใครอยากได้ข้อมูลแท้ๆแบบครบถ้วนไม่ผิดเพี้ยนไปอ่านของจริงเอาเองเน้อ
อ้างอิงจาก
http://share.psu.ac.th/blog/8332-computer/4131
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)